การฟ้องคดีด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีทนายความ

ปัจจุบันการชื้อขายสินค้าบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตขยายตัวอย่างรวดเร็วยิ่งในช่วงการระบาดของโรคติดต่อไวรัสโคโรน่า(โควิด ๑๙) ยิ่งยืนยันการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อสินค้าจากปกติมากขึ้นจนเห็นชัด ยิ่งแพลตฟอร์มต่างๆมีโปรฯนี่นู่นนั่นจูงใจสาระพัดทำให้การชื้อขายเกิดขึ้นง่ายและมีข้อพิพาทตามมาเป็นจำนวนมาก เช่นสั่งซื้อแล้วได้สินค้าไม่ตรงปก สินค้าชำรุดหรือไม่เป็นไปตามที่โฆษณา รวมถึงสั่งซื้อแล้วไม่ได้สินค้าเป็นต้น

ซึ่งตามปกติก็สามารถนำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลได้อยู่แล้วเมื่อเกิดความเสียหายเป็นข้อพิพาทขึ้นมาแต่ในการยื่นฟ้องคดีแพ่ง(ผู้บริโภค)ตามหลักจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่และจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเช่นค่าธรรมเนียมศาล,ค่านำส่งหมายเรียกฯค่าทนายความ

เมื่อมีแผนกคดีชื้อขายออนไลน์โดยเฉพาะเกิดขึ้นแล้วเปิดอย่างเป็นทางการและเริ่มฟ้องคดีได้ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๕ ภายใต้สโลแกน “ความยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย”มุ่งส่งเสริมและยกระดับคุ้มครองผู้บริโภควิถีใหม่ ประชาชนผู้เสียหายจากการชื้อขายสินค้าออนไลน์สามารถฟ้องคดีได้ด้วยตนเองโดยผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตด้วยระบบ e-filing แม้เดิมระบบ e-filing จะมีอยู่ก่อนแล้วพัฒนาโดยศาลยุติธรรมร่วมกับธนาคารกรุงไทยแต่นั่นก็ให้สิทธิเฉพาะทนายความกับอัยการเท่านั้นส่วนของประชาชนยังไม่สามารถใช้ได้

ตอนนี้ประชาชนสามารถใช้ได้แล้วและสามารถฟ้องได้ด้วยตนเองจึงไม่ต้องเสียเวลาไปศาลไม่มีทนายก็ได้จึงเกิดความสะดวกประหยัดมากขึ้นแม้จำนวนเงินที่เสียหายจะไม่มากแม้เพียงหลักสิบหลักร้อยก็ไม่ใช่ปัญหาแต่เดิมเราอาจคิดกันว่าช่างเถอะเงินแค่นี้เองหากฟ้องคดีต้องจ้างทนายเสียเวลาเสียเงินไม่คุ้มและขั้นตอนยุ่งยากจึงเกิดการเฉยปล่อยผ่านไปไม่ได้รับการเยียวยา

จึงเป็นโอกาสดีและเป็นครั้งแรกที่ให้ประชาชนยื่นฟ้องทางอินเตอร์เน็ตได้ด้วยตนเองเพิ่มช่องทางในการยื่นคำฟ้องและเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกมากขึ้นสามารถเข้าใช้ระบบได้ที่ว็บไซต์(คลิกLink)เพื่อลงทะเบียนผู้ใช้งานระบบได้ด้วยตนเอง เมื่อยื่นคำฟ้องเข้าระบบหากคำฟ้องตรงตามเงื่อนไขและข้อมูลถูกต้องครบถ้วนและศาลมีคำสั่งรับคำฟ้องการส่งหมายเรียกแก่จำเลยจะส่งทางอีเมลหรือทาง SMS หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ แตกต่างกับการฟ้องคดีทั่วไปจะส่งหมายโดยวิธีเช่นนี้ไม่ได้การพิจารณาคดีก็จะใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ